ธุรกิจของคุณพร้อมสำหรับอนาคตแล้วหรือยัง

ในยุคที่ธุรกิจต้องแข่งขันกันอย่างดุเดือด ผู้บริหารต้องเผชิญกับความท้าทายมากมาย ทั้งในด้านการบริหารทีม การเพิ่มยอดขาย และการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า เช่น ผู้บริหารหลายคนต้องใช้เวลาไปกับการตอบคำถามพนักงาน ทำให้ไม่มีเวลาโฟกัสกับกลยุทธ์หลักขององค์กร หรือ ทีมขายอาจใช้เวลาไปกับงานที่ต้องทำซ้ำ แทนที่จะเน้นไปที่การปิดการขาย เป็นต้น เทคโนโลยี AI ไม่ได้เป็นเพียงแค่แนวคิดในอนาคตอีกต่อไป แต่ได้กลายมาเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจเติบโตอย่างก้าวกระโดด และหนึ่งในโซลูชันที่ทรงพลังที่สุดคือ Microsoft Copilot Studio 

Microsoft Copilot Studio คืออะไร 

Copilot Studio คือเครื่องมือจาก Microsoft ที่ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถสร้าง ปรับแต่ง และควบคุมการทำงานของ AI Copilot ได้อย่างสะดวก โดยไม่จำเป็นต้องมีความรู้ด้านการเขียนโค้ดในระดับสูง (Low-code/No-code) เหมาะสำหรับธุรกิจหรือองค์กรที่ต้องการปรับแต่ง AI Copilot ให้ตรงตามกระบวนการการทำงานเฉพาะด้านภายในองค์กร เช่น ตอบคำถามลูกค้า เชื่อมต่อกับข้อมูลในระบบขององค์กร และการผสานข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ เช่น Microsoft 365, SharePoint, Dataverse หรือ Microsoft Dynamics 365 เป็นต้น 

    Microsoft Copilot Studio ช่วยองค์กรของคุณได้อย่างไร 

    1.ยกระดับการบริหารงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

    ปัญหาที่พบบ่อย – ผู้บริหารหลายคนต้องใช้เวลามากมายไปกับการตรวจสอบงาน หรือการสื่อสารภายในองค์กรล่าช้า เช่น พนักงานไม่เข้าใจกระบวนการทำงานที่ถูกต้อง ต้องสอบถามหัวหน้างานที่อาจไม่ว่างหรือติดประชุมอยู่ 

    AI Copilot สามารถตอบคำถาม แนะนำแนวทางการทำงาน ช่วยลดภาระงานที่ไม่จำเป็น และเพิ่มเวลาสำหรับงานที่มีมูลค่าสูงกว่า เช่น 

    • สามารถช่วยให้คำแนะนำเกี่ยวกับขั้นตอนการทำงานที่ถูกต้องของบริษัทได้ 
    • สามารถตอบคำถามพนักงานเกี่ยวกับนโยบายของบริษัทได้โดยอัตโนมัติ 

    2.สร้างประสบการณ์ที่ดีกว่าให้กับลูกค้าของเรา 

    ปัญหาที่พบบ่อย – ทีมขายและทีมบริการลูกค้าอาจใช้เวลาไปกับงานตอบคำถามลูกค้าเดิม ๆ หรือในกรณีลูกค้าพบปัญหาเร่งด่วน ที่อาจจะอยู่นอกเวลาทำงานขององค์กร ทีมขายและบริการไม่สามารถตอบสนองได้รวดเร็วพอ 

    AI Copilot สามารถช่วยตอบคำถามลูกค้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทำให้ทีมขายและทีมบริการสามารถให้บริการลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่งผลให้ยอดขายเพิ่มขึ้นและทำให้ลูกค้าพึงพอใจได้มากขึ้น เช่น 

    • สามารถตอบคำถามลูกค้าได้ 24 ชั่วโมง ไม่มีวันหยุด 
    • ตอบคำถามและช่วยเหลือลูกค้าได้ทันที ไม่ต้องรอทีมงาน 
    • ช่วยคัดกรองความสำคัญของงานจากการสอบถามกับลูกค้า ก่อนจะมอบหมายให้พนักงานดำเนินการต่อ ช่วยให้การจัดการงานมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น 
    • การแยกปัญหาที่เข้ามาและส่งไปตามแผนกที่ดูแลได้อย่างถูกต้อง 
    • สามารถนำเสนอรายละเอียดสินค้าหรือบริการที่เหมาะสมกับสิ่งที่ลูกค้ากำลังมองหาอยู่ได้ทันที 

    3.เรียกดูข้อมูลจากหลายแหล่งได้อย่างรวดเร็ว 

    ปัญหาที่พบบ่อย – องค์กรมักมีข้อมูลจำนวนมหาศาล อาจจะต้องใช้โปรแกรมที่หลากหลายในการเข้าถึงข้อมูลเหล่านั้น ซึ่งทำให้ผู้บริหารและพนักงานเสียเวลาในการเข้าถึงข้อมูล 

    AI Copilot จะช่วยให้ผู้บริหารเรียกดูข้อมูลจากหลายแหล่งได้ทันทีผ่าน Copilot 

    • สามารถเรียกดูข้อมูลของระบบต่าง ๆ ได้ เช่น Microsoft Dynamics 365 Finance and Supply Chain Management ผ่านการสอบถามกับ AI Copilot โดยไม่จำเป็นต้องเข้าไปที่ระบบ 
    • ช่วยให้พนักงานสามารถเรียกดูข้อมูลและทำงานร่วมกันได้ง่ายขึ้น ทำให้ทุกคนในทีมติดตามความคืบหน้าของข้อมูลได้ทันที 
    • ผู้บริหารสามารถเรียกดูข้อมูลด้วยตนเองได้ทุกที่ ทุกเวลา ลดการพึ่งพาพนักงานในการค้นหาข้อมูล 

    4.ช่วยให้ทรัพยากรบุคคลสามารถทำงานที่สร้างมูลค่าให้องค์กรได้มากขึ้น

    ปัญหาที่พบบ่อย – องค์กรมีงานซ้ำ ๆ ที่สามารถทำด้วยเครื่องมือหรือระบบอัตโนมัติได้ แต่ปัจจุบันเป็นงานของพนักงานทุกคน ทำให้พนักงานต้องเสียเวลาไปกับงานที่ต้องทำซ้ำ ๆ อาจจะทำให้องค์กรต้องจ้างพนักงานเพิ่มและมีค่าใช้จ่ายมากขึ้น

    ใช้ AI Copilot เป็นผู้ช่วยส่วนตัวของพนักงาน โดยให้ AI Copilot ทำงานที่ต้องทำซ้ำ ๆ เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระพนักงานในองค์กร 

    • ในงานที่ปกติแล้วพนักงานต้องมาทำซ้ำ ๆ ในทุกวัน สามารถให้ AI Copilot ช่วยแบ่งเบาภาระได้ เพื่อให้พนักงานนำเวลาไปทำงานที่มีความสำคัญต่อองค์กร 

    ทำไมต้องเลือก Microsoft Copilot Studio? 

    • ใช้งานง่ายเพราะออกแบบมาให้ผู้ใช้สามารถเริ่มต้นได้โดยไม่ต้องมีความรู้ด้านเทคนิค 
    • ปรับแต่งได้ตามความต้องการของธุรกิจ สามารถตั้งค่า AI ให้เหมาะสมกับองค์กรของคุณ 
    • รองรับการเชื่อมต่อที่หลากหลาย เช่น Microsoft 365, Microsoft Dynamics 365 Finance and Supply Chain Management และแพลตฟอร์มอื่น ๆ ได้อย่างราบรื่น 
    • รองรับการประมวลผลภาษาธรรมชาติที่ล้ำสมัย สามารถเข้าใจและโต้ตอบกับผู้ใช้ได้อย่างชาญฉลาด 
    • เมื่อพัฒนา Copilot เรียบร้อยแล้ว สามารถนำไปให้บริษัทในเครือใช้งานได้ ไม่จำเป็นต้องพัฒนาใหม่ตั้งแต่ศูนย์ 

    ตัวอย่างธุรกิจที่ใช้ Copilot กับ Microsoft Dynamics 365 Finance and Supply Chain Management

    1.ให้ AI Copilot สร้างรายการใบขอซื้อ 

    ในธุรกิจ ERP ที่ใช้ Microsoft Dynamics 365 Finance and Supply Chain Management สามารถสั่งให้ AI Copilot ไปสร้างรายการใบขอซื้อ ผ่าน Chatbot ที่ถูกปรับแต่งบน Copilot Studio โดยระบุว่าอยากให้ทำรายการซื้อสินค้าชนิดใด จากใคร จำนวนเท่าไหร่

    • เช่น “สร้างรายการใบขอซื้อ Notebook ให้พนักงานใหม่ รุ่น AAA จากบริษัท XXX 1 เครื่อง” เป็นต้น ในกรณีที่ลูกค้าลืมระบุข้อมูลที่จำเป็นบางรายการ ทาง AI Copilot สามารถถามกลับไปยังลูกค้า เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ครบถ้วนก่อนไปสร้างรายการในระบบ 

    2.ให้ AI Copilot ช่วยทำกระบวนการทางธุรกิจแทนผู้ใช้ 

    ในบางธุรกิจ การขายสินค้าจะมีกระบวนการทางธุรกิจก่อนออกใบแจ้งหนี้ให้ลูกค้าอยู่ 3 ขั้นตอน คือ

    1. การเปิดใบสั่งขาย (Sales order)
    2. การหยิบสินค้าจากในคลัง (Pick)
    3. การห่อสินค้า (Pack)

    ถ้าทั้ง 3 ขั้นตอนคือคนทำคนเดียวกัน ผู้ใช้รายนั้นต้องทำทั้ง 3 ขั้นตอนด้วยตนเอง ซึ่งการทำทั้ง 3 ขั้นตอน จะอยู่ในหน้าจอที่แตกต่างกัน หากมีการใช้งาน AI Copilot ที่ถูกปรับแต่งแล้ว ผู้ใช้สามารถส่งคำสั่งให้ AI Copilot ทำทั้ง 3 ขั้นตอนนี้ผ่าน Chatbot ได้ในหน้าจอเดียว โดยที่ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องไปทำรายการเอง และหากในบางธุรกิจ บางองค์กร ต้องการเพิ่มขั้นตอนที่ 4 ให้ AI Copilot ออกใบแจ้งหนี้ให้ด้วย ก็สามารถทำได้เช่นกัน 

    3.การสอบถามข้อมูลผ่าน AI Copilot ที่เป็นข้อมูลที่อยู่นอกระบบ 

    โดยปกติ ผู้ใช้สามารถใช้ AI Copilot เพื่อขอคำแนะนำในการใช้งานระบบ Microsoft Dynamics 365 Finance and Supply Chain Management ได้ ผ่านการสอบถามกับ Chatbot แต่หากผู้ใช้ต้องการเพิ่มความสามารถของ AI Copilot ให้รองรับการสอบถามข้อมูลที่อยู่นอกระบบ ผู้ใช้สามารถขยายความสามารถของ AI Copilot ด้วยตัวเองได้ ผ่านการผสานข้อมูลภายนอกเข้าไปใน Copilot Studio เพื่อให้ AI Copilot สามารถนำมาเป็นแหล่งข้อมูลในการตอบผู้ใช้

    • เช่น สามารถสอบถามข้อมูลที่อยู่ใน Public website หรือ SharePoint ที่องค์กรกำหนด เป็นต้น 

    4.ข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับ Copilot บนระบบ Microsoft Dynamics 365 Finance and Supply Chain Management:

    ถึงเวลายกระดับธุรกิจของคุณแล้ว! 

    หากคุณกำลังมองหาผู้ช่วย AI Copilot ส่วนตัวอัจฉริยะที่สามารถปรับใช้ได้อย่างยืดหยุ่น และมีความเชี่ยวชาญในการทำงาน พร้อมเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้กับระบบ Microsoft Dynamics 365 Finance and Supply Chain Management เพื่อขยายโอกาสทางธุรกิจ และสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน การประสานพลังของ Microsoft Copilot Studio คือคำตอบของคุณ 

    📞 ติดต่อเราเพื่อขอคำปรึกษากับทีมผู้เชี่ยวชาญ 

    เวลาทำการ: Mon-Fri 9:00-18:00 

    Email: SalesTeam@innovizsolutions.com 

    Website: Innoviz Solutions 

    Telephone: (662) 6514542 

    ในยุคปัจจุบัน การเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจเกิดขึ้นรวดเร็วและต่อเนื่อง ส่งผลให้องค์กรต่าง ๆ กำลังมองหาเครื่องมือหรือแนวทางที่ช่วยให้องค์กรมีประสิทธิภาพ ทันสมัย และสามารถปรับตัวได้ทันต่อความต้องการของยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะในด้านการจัดการงานภายในถือว่าเป็นส่วนสำคัญ

    ซึ่งสิ่งที่หลาย ๆ องค์กรให้ความสนใจและกำลังมองหาในปัจจุบันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในองค์กร มีดังนี้

    • ความสามารถในการลดขั้นตอนที่ไม่จำเป็น และทำงานซ้ำซ้อนได้อย่างอัตโนมัติ
    • ความรวดเร็วในการทำงานและการเข้าถึงข้อมูลแบบ Real Time
    • การเชื่อมโยงข้อมูลจากหลายระบบเข้าด้วยกัน เพื่อให้ตัดสินใจได้อย่างแม่นยำ
    • ความยืดหยุ่นในการปรับเปลี่ยนกระบวนการทำงานให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป

    แม้ในหลายองค์กรจะตระหนักถึงความสำคัญของสิ่งเหล่านี้ แต่ระบบการทำงานในปัจจุบันกลับยังไม่รองรับได้อย่างเต็มที่

    หากลองย้อนกลับไปดูการทำงานในแต่ละแผนก จะพบว่าทุกแผนกล้วนมีขั้นตอนของตัวเอง แต่ภาพรวมขององค์กรกลับยังเผชิญกับปัญหาความล่าช้า ข้อมูลไม่สอดคล้อง และประสิทธิภาพที่ยังไม่เต็มศักยภาพ เพราะแท้จริงแล้ว หลายกระบวนการยังคงพึ่งพาการทำงานแบบ Manual ขาดระบบกลาง และไม่มีการเชื่อมโยงข้อมูลอย่างเป็นระบบ

    เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น ลองมาดูตัวอย่างของกระบวนการที่มีอยู่ในทุกองค์กร

    กระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง (PR – PO) เกิดอะไรขึ้นบ้าง? ในกระบวนการนี้

    • พนักงานเขียนใบขอซื้อ (PR) ลงบนฟอร์มกระดาษ
    • ส่งเอกสารใบขอซื้อให้หัวหน้าเพื่อขออนุมัติลายเซ็นทีละคน
    • หลังจากที่มีการอนุมัติครบแล้ว ฝ่ายจัดซื้อต้องกรอกข้อมูลใหม่อีกครั้ง เพื่อออกใบสั่งซื้อ (PO)
    • ส่งเอกสารใบขอซื้อให้ผู้มีอำนาจลงนาม

    หรือจะเป็น กระบวนการขอเบิกค่าใช้จ่าย (Expense) ที่แทบทุกองค์กรใช้งานกันเป็นปกติ

    • พนักงานเขียนใบขอเบิกค่าใช้จ่ายลงบนฟอร์มกระดาษ พร้อมแนบใบเสร็จ
    • ส่งเอกสารใบขอซื้อให้หัวหน้าเพื่อขออนุมัติลายเซ็นทีละคน
    • ฝ่ายบัญชีตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลและเอกสารแนบ

    จะเห็นว่า ทั้ง 2 กระบวนการดูเหมือนจะมีขั้นตอนการทำงานปกติ ไม่มีอะไรซับซ้อน แต่รู้หรือไม่ กระบวนการเหล่านี้มีปัญหาที่แอบแฝงอยู่ นั่นคือ

    • เอกสารสำคัญ เช่น ใบเสร็จ ตกหล่น หาไม่เจอ
    • ข้อมูลไม่ตรงกันระหว่างใบขอซื้อและใบสั่งซื้อ
    • ไม่สามารถติดตามสถานะ หรือมีประวัติว่าใครเป็นผู้อนุมัติ
    • ในกรณีที่ผู้อนุมัติไม่อยู่ที่โต๊ะทำงาน หรือไปพบลูกค้า ต้องรอจนกว่าผู้อนุมัติจะกลับมา
    • กว่าจะสิ้นสุดกระบวนการ อาจใช้เวลาเป็นสัปดาห์

    ลองจินตนาการดูว่า จะเป็นอย่างไร ถ้ากระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง หรือกระบวนการขอเบิกค่าใช้จ่าย ไม่ต้องตามหาผู้อนุมัติ ไม่ต้องกังวลว่าเอกสารจะหาย การอนุมัติรวดเร็วขึ้น 3 เท่า ทำให้การทำงานระหว่างแผนกรวดเร็วมากขึ้น สามารถอนุมัติกระบวนการให้เสร็จได้ภายใน 1 วัน

    ทั้งหมดนี้สามารถเกิดขึ้นได้จริง ด้วยระบบที่ออกแบบมาเพื่อเชื่อมโยงคน ข้อมูล และกระบวนการเข้าด้วยกันอย่างไร้รอยต่อด้วย K2 Workflow คือคำตอบสำหรับองค์กรที่ต้องการเปลี่ยนจากการทำงานที่ไม่มีประสิทธิภาพ สู่การทำงานในยุค Digital อย่างแท้จริง

    ทำความรู้จักกับ K2 Application

    K2 เป็นแพลตฟอร์มที่ช่วยให้องค์กรสามารถสร้างกระบวนการทำงาน (Workflow) และฟอร์มต่าง ๆ ได้อย่างยืดหยุ่น โดยไม่จำเป็นต้องเขียนโค้ดจำนวนมาก ด้วยเครื่องมือที่ออกแบบมาเพื่อรองรับทั้งการทำงานภายใน (เช่น การขออนุมัติเอกสาร การจัดการคำขอจากพนักงาน) ไปจนถึงกระบวนการที่เชื่อมต่อกับระบบอื่นในองค์กร K2 ช่วยให้ทีมสามารถพัฒนา ปรับปรุง และควบคุม Workflow ได้ด้วยตนเอง ลดการพึ่งพา IT และเพิ่มความรวดเร็วในการปรับตัวต่อความเปลี่ยนแปลง

    5 ข้อดีเมื่อองค์กรเลือกใช้ K2 จัดการ Workflow

    1. ลดการใช้เอกสารกระดาษ

    K2 ช่วยให้องค์กรเปลี่ยนกระบวนการที่เคยต้องใช้เอกสารจริงในรูปแบบกระดาษ ให้กลายเป็นแบบฟอร์มออนไลน์ที่กรอกและส่งเข้าระบบได้ทันที ช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านกระดาษ และพื้นที่จัดเก็บ อีกทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงในการสูญหายของเอกสาร

    2. เปลี่ยนงาน Manual ให้เป็นระบบอัตโนมัติ

    ในกระบวนการทำงานทั่วไป มักมีขั้นตอนที่พนักงานต้องกรอกข้อมูลเดิมซ้ำ ๆ หลายรอบ เช่น กรอกชื่อพนักงาน รหัสพนักงาน วันที่ รายละเอียดรายการ หรือยอดเงิน ลงในเอกสารหลายชุดหรือหลายฟอร์ม แม้จะเป็นเรื่องเล็ก แต่เมื่อต้องทำซ้ำบ่อย ๆ ก็กลายเป็นภาระที่ใช้เวลามาก และเสี่ยงต่อความผิดพลาดได้ง่าย การมี K2 จะช่วยลดภาระเหล่านี้ด้วยฟอร์มที่เชื่อมโยงข้อมูลภายในระบบให้โดยอัตโนมัติ

    3. ทำให้การอนุมัติเป็นระบบและตรวจสอบย้อนหลังได้

    K2 จะช่วยให้ทุกการอนุมัติง่ายต่อการติดตาม และง่ายต่อการอนุมัติแบบมีลำดับชัดเจน สามารถตรวจสอบสถานะได้แบบ Real time นอกจากนี้ยังสามารถตั้งเงื่อนไขล่วงหน้า เช่น หากเกินระยะเวลาที่กำหนด ให้แจ้งเตือนอัตโนมัติ หรือส่งต่อให้ผู้มีสิทธิ์อนุมัติคนถัดไป ช่วยลดเวลาการทำงานโดยรวม และทำให้งานไม่ค้างอยู่กับใครนานเกินไป

    4. เชื่อมต่อกับระบบอื่นในองค์กรได้อย่างยืดหยุ่น

    K2 รองรับการเชื่อมต่อกับระบบภายในองค์กรที่มีอยู่เดิม ไม่ว่าจะเป็นระบบ HR, ERP, Finance, Document Management หรือฐานข้อมูลกลางต่าง ๆ โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนระบบทั้งหมดใหม่ ช่วยให้องค์กรสามารถดึงข้อมูลที่จำเป็นมาใช้ใน Workflow ได้อย่างราบรื่น เช่น ดึงข้อมูลพนักงานจากระบบ HR มาเติมในแบบฟอร์มโดยอัตโนมัติ หรือตรวจสอบวงเงินจากระบบบัญชีก่อนอนุมัติการใช้จ่าย

    5. พัฒนาไว เปลี่ยนแปลงง่าย ด้วย Platform แบบ Low-code

    K2 สามารถพัฒนา Application และ Workflow ต่าง ๆ โดยใช้แนวทาง Low-code ด้วยการใช้เครื่องมือแบบลากวาง (Drag & Drop) ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถออกแบบฟอร์ม จัดลำดับขั้นตอน และตั้งเงื่อนไขต่าง ๆ ได้โดยไม่ต้องเขียนโค้ดจำนวนมาก หรือแม้แต่คนที่ไม่ใช่สาย IT ก็สามารถเข้าใจและใช้งานได้ ช่วยลดเวลาในการพัฒนา ปรับเปลี่ยนระบบได้อย่างรวดเร็ว

    ยกระดับองค์กรสู่ดิจิทัลด้วย K2

    หลังจากที่ใช้งาน K2 องค์กรต่าง ๆ เริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนในกระบวนการทำงาน ทั้งในแง่ของความรวดเร็ว ความแม่นยำ และความยืดหยุ่น รวมถึงการสร้างและปรับแต่ง Workflow ที่ง่ายและรวดเร็วด้วย Platform แบบ Low-code

    ลดเวลาในการทำงาน 30%

    • องค์กรสามารถลดเวลาในการทำงานและจัดการงานต่าง ๆ ลงได้ถึง 30% เนื่องจากพนักงานสามารถอนุมัติได้อย่างรวดเร็วผ่าน Workflow ที่เป็นระบบ ช่วยลดความซ้ำซ้อน และทำให้การดำเนินงาน การตัดสินใจ รวมถึงการตรวจสอบข้อมูลย้อนหลังคล่องตัวมากขึ้น

    เพิ่มความเร็วการจัดทำเอกสาร 4 เท่า

    • การจัดทำเอกสารด้านการขายและการออกใบเสนอราคาสามารถทำได้เร็วขึ้นถึง 4 เท่า จากเดิมที่อาจต้องใช้เวลาหลายวัน เหลือเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมง ด้วยแบบฟอร์มที่คำนวณข้อมูลให้อัตโนมัติ

    พัฒนา Application ได้อย่างรวดเร็วด้วย Platform แบบ Low-code

    • การพัฒนา Application สามารถทำได้เร็วขึ้นถึง 30% ด้วย Platform แบบ Low-code ที่ช่วยให้ผู้ใช้งานไม่จำเป็นต้องมีทักษะ Programming สูง ก็สามารถพัฒนาและปรับเปลี่ยนระบบได้อย่างรวดเร็ว ลดเวลาการพัฒนาระบบใหม่และการปรับปรุงระบบเดิม

    ตัวอย่างการใช้งาน K2 ในกระบวนการทำงานของแต่ละแผนก

    K2 สามารถนำไปปรับใช้กับกระบวนการต่าง ๆ ได้ในหลายแผนก ช่วยให้การทำงานเป็นระบบมากขึ้น ลดความซับซ้อน และลดภาระงาน Manual ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    👩‍💼Human Resources Department

    ในการทำงานของฝ่าย HR อาจมีบางส่วนที่ต้องทำงานแบบ Manual เช่นการเบิกค่าใช้จ่าย ที่ต้องตรวจสอบข้อมูลจำนวนมาก ๆ ทำให้มีโอกาสเกิดข้อผิดพลาดขึ้นได้ เมื่อนำ K2 มาใช้งาน จะช่วยลดงานทำงานในบางส่วน และช่วยลดความผิดพลาดจากการทำงานแบบ Manual ได้ โดยฝ่าย HR จะมี Process ตัวอย่างที่นำมาใช้งานกับ K2 ดังต่อไปนี้

    • Request Expense
    • Leave Request
    • Recruitment System

    🔄 Operations Department

    • Fixed Asset Management
    • Vendor Management

    📋 Accounting & Financial Department

    • Purchase Request & Purchase Order
    • Petty Cash
    • Cash Advance

    เพิ่มประสิทธิภาพธุรกิจด้วย K2

    หลังจากที่องค์กรเลือกใช้งาน K2 ในการจัดการ Workflow จะเห็นว่า K2 จะช่วยลดระยะเวลาในการทำงานจากการดึงข้อมูลให้โดยอัตโนมัติ ระบบตรวจสอบข้อมูลในระหว่างกระบวนการอนุมัติ เอกสารหลักฐานสามารถแนบเป็นไฟล์ ไม่ต้องกังวลว่าจะหาย ทุกขั้นตอนการอนุมัติสามารถตรวจสอบย้อนหลังได้ โดยเป็นการปรับปรุงกระบวนการภายในให้เป็นกระบวนการที่ทันสมัยใช้งานง่ายและเป็นประโยชน์ให้กับทุกคนองค์กร หากธุรกิจของคุณกำลังมองหาสิ่งที่ตอบโจทย์ในยุคดิจิทัล Innoviz Solutions พร้อมให้คำปรึกษาและนำเสนอโซลูชันที่เหมาะสม สามารถติดต่อเราได้ที่: 

    Email: SalesTeam@innovizsolutions.com 

    Tel: 02-6514542 

    Website: Innoviz Solutions 

    อ้างอิง:

    https://www.innovizsolutions.com/k2/

    การบริหารจัดการกระบวนการด้านบัญชีเจ้าหนี้อย่างมีประสิทธิภาพ ถือเป็นหนึ่งในหัวใจสำคัญของการเงินองค์กร ในหลายกรณี การบันทึกใบแจ้งหนี้ในช่วงที่งวดบัญชีปิดไปแล้ว อาจก่อให้เกิดความล่าช้า ความผิดพลาด หรือภาระงานในการแก้ไขข้อมูลย้อนหลัง เพื่อแก้ปัญหาเหล่านี้ Microsoft Dynamics 365 Finance and Operations (D365 F&O) จึงได้เพิ่ม Feature Adjust posting date automatically during invoice posting ซึ่งช่วยให้ระบบสามารถปรับวันที่บันทึกบัญชีโดยอัตโนมัติให้สอดคล้องกับงวดบัญชีที่เปิดใช้งานอยู่

    Feature นี้ไม่เพียงเพิ่มความยืดหยุ่นในการจัดการใบแจ้งหนี้ แต่ยังช่วยลดภาระงานของเจ้าหน้าที่บัญชีเจ้าหนี้ และลดความผิดพลาดจากการแก้ไขวันที่ด้วยตนเอง

    📌 Feature Adjust posting date automatically during invoice posting คืออะไร?

    โดยปกติ หากวันที่ในใบแจ้งหนี้อยู่ช่วงที่งวดบัญชีปิดไปแล้ว ระบบจะไม่อนุญาตให้ทำการโพสต์ และผู้ใช้จะต้องเปลี่ยนวันที่ด้วยตนเอง ซึ่งอาจทำให้เสียเวลา หรือเกิดข้อผิดพลาดได้

    Feature นี้ช่วยให้ระบบสามารถปรับวันที่โพสต์ให้อัตโนมัติได้ ตามกฎที่กำหนดไว้ล่วงหน้า เช่น:

    • ขยับวันที่ไปยังวันถัดไปที่สามารถโพสต์ได้
    • เลือกวันที่เริ่มต้นของงวดบัญชีถัดไป
    • ปรับให้เป็นวันที่ภายในช่วงที่อนุญาตโดย user หรือตาม period ของบริษัท

    ประโยชน์ของ Feature Adjust posting date automatically

    • เพิ่มความแม่นยำและประสิทธิภาพในการทำบัญชี
    • ลดงาน manual ในการแก้ไขวันที่ด้วยตนเอง
    • ลดข้อผิดพลาดในการบันทึกบัญชี
    • ช่วยให้กระบวนการโพสต์ใบแจ้งหนี้ไม่สะดุด แม้จะมีปัญหาเรื่องวันที่

    ⚙️ เริ่มใช้งาน Feature

    1. Enable Feature

    สามารถเปิดใช้งาน Feature นี้ได้ผ่าน Feature management workspace โดย Feature นี้มีชื่อว่า “Adjust posting date automatically during invoice posting”

    เมื่อเปิดใช้แล้ว จะมีการเพิ่มการตั้งค่าใหม่ในหน้า Accounts payable parameters ให้สามารถกำหนดเงื่อนไขในการปรับวันที่ได้

    2. Setup Parameters

    Path : Account payable > Setup > Account payable parameters > Ledger and sales tax

    โดยมีตัวเลือกการตั้งค่าหลายแบบให้เลือกตามความต้องการของธุรกิจ เช่น:

    • No change – ระบบจะไม่เปลี่ยนแปลงวันที่บันทึกบัญชี
    • Always change posting date to system date – ระบบจะเปลี่ยนวันที่บันทึกบัญชีเป็นวันที่ของระบบทุกครั้ง
    • Change posting date to system date when posting date period is closed or on hold – ระบบจะเปลี่ยนวันที่บันทึกบัญชีเป็นวันที่ของระบบเฉพาะเมื่อช่วงงวดบัญชีเดิมถูกปิดหรืออยู่ในสถานะพัก
    • Change posting date to first day of new period when posting date period is closed or on hold – ระบบจะเปลี่ยนวันที่บันทึกบัญชีเป็นวันแรกของงวดบัญชีใหม่ที่เปิดอยู่

     📝 ตัวอย่างการทำงาน

    Case :  Parameter = “Change posting date to first day of new period when posting date period is closed or on hold”  (หากวันที่เดิมอยู่ในงวดที่ปิดหรือ on hold ระบบจะ เปลี่ยนไปเป็นวันแรกของงวดถัดไปที่เปิด)

    • Invoice date = 19 พ.ค. 2025, Period of Invoice date = On hold
    • Posting date = 5 มิ.ย 2025 , Period of System date = Open
    • Parameter = Change posting date to first day of new period when posting date period is closed or on hold

    Result : Invoice date = 1 มิ.ย 2025

    ⚠️ ผลกระทบของการเปลี่ยนวันที่บันทึกบัญชี

    เมื่อมีการเปลี่ยนวันที่ลงบัญชีในใบแจ้งหนี้ของผู้ขาย (Pending Vendor Invoice) ที่ยังไม่ลงบัญชี การเปลี่ยนแปลงจะมีผลกระทบดังต่อไปนี้:

    1. Due date (วันครบกำหนด)

    📌หากไม่มีการระบุ วันที่ในใบแจ้งหนี้ (Invoice date) ระบบจะคำนวณวันครบกำหนด (Due date) ใหม่โดยอิงจาก “วันที่ลงบัญชีใหม่ (Posting date)” และ “เงื่อนไขการชำระเงิน (Term of payment)”

    • ตัวอย่าง: เดิม Posting date = 1 มิ.ย. 2025, ไม่ระบุ Invoice date, Term of payment = 30 วัน, Due date = 1 ก.ค. 2025
    • ผลลัพธ์: หากเปลี่ยน Posting date เป็น 5 มิ.ย. 2025 → Due date จะขยับเป็น 5 ก.ค. 2025

    📌หากมีการระบุ วันที่ในใบแจ้งหนี้ (Invoice date) แล้ว การเปลี่ยนวันที่ลงบัญชีใหม่ (Posting date) จะ ไม่ ส่งผลต่อวันครบกำหนด (Due date)

    • ตัวอย่าง: Invoice date = 1 มิ.ย. 2025, Posting date เปลี่ยนเป็น 10 มิ.ย. 2025
    • ผลลัพธ์: Due date ยังคงอิงจาก Invoice date เดิม

    2. Cash discount date (วันที่ใช้คำนวณส่วนลดเงินสด)

    📌หากไม่มีการระบุ วันที่ในใบแจ้งหนี้ (Invoice date) ระบบจะใช้วันที่ลงบัญชีใหม่ (Posting date) เพื่อคำนวณส่วนลดเงินสด

    • ตัวอย่าง: ไม่ระบุ Invoice date, เปลี่ยน Posting date
    • ผลลัพธ์: วันที่ส่วนลดเงินสด (Cash discount date) เปลี่ยนตามวันที่ลงบัญชีใหม่ (Posting date)

    📌หากมีการระบุ วันที่ในใบแจ้งหนี้ (Invoice date) อยู่แล้ว ส่วนลดเงินสดจะ ไม่เปลี่ยนแปลง

    • ตัวอย่าง: Invoice date = 1 มิ.ย. 2025, เปลี่ยน Posting date
    • ผลลัพธ์: ไม่มีผลต่อ cash discount

    3. Validation (การตรวจสอบความถูกต้อง)

    📌มี 2 ฟิลด์ในแท็บ Invoice ของหน้าการตั้งค่าบัญชีเจ้าหนี้ที่ส่งผลต่อกระบวนการใบแจ้งหนี้:

    3.1 หากตั้งค่า Check the invoice number used เป็น Reject duplicates within fiscal year

    • ระบบจะใช้ “วันที่ลงบัญชี Posting date” เพื่อตรวจสอบเลขใบแจ้งหนี้ซ้ำในระหว่างปีงบประมาณ
    • ดังนั้น ถ้าเปิดใช้ Feature “Adjust posting date” แล้วระบบเปลี่ยน Posting Date ไปยังเดือนใหม่หรือปีใหม่โดยอัตโนมัติ อาจทำให้ระบบ ไม่ตรวจพบว่าเป็นใบแจ้งหนี้ซ้ำ เพราะอยู่คนละปีงบประมาณ
    • ข้อควรระวัง: อาจเกิดการบันทึกใบแจ้งหนี้ซ้ำโดยไม่ตั้งใจ หากไม่ได้ตรวจสอบ Invoice Number อย่างละเอียด
      • ตัวอย่าง: หาก Posting date เปลี่ยนเป็นปีใหม่
      • ผลลัพธ์: ระบบอาจไม่ถือว่าหมายเลขซ้ำ

    3.2 หากตั้งค่า Require document date on vendor invoice เป็น Error

    • ฟิลด์ “วันที่ในใบแจ้งหนี้ (Invoice date)” บนใบแจ้งหนี้ที่ยังไม่ลงบัญชีจะต้องมีค่า หากไม่ระบุจะ Error
    • หาก “วันที่ในใบแจ้งหนี้ (Invoice date)” ช้ากว่าวันที่ลงบัญชี (Posting date) ระบบจะแสดงข้อความแสดงข้อผิดพลาดและไม่สามารถโพสต์ใบแจ้งหนี้ได้
    • ข้อควรระวัง: ตรวจสอบว่า Invoice Date ที่กรอกไว้ ไม่ขัดแย้งกับ Posting Date ที่ระบบปรับให้ เพื่อป้องกันการเกิดปัญหาในการ Post
      • ตัวอย่าง: ใบแจ้งหนี้มาถึงล่าช้า
        • ระบบบัญชีตั้งให้โพสต์ใบแจ้งหนี้โดยอัตโนมัติเป็นวันรับสินค้า เช่น 30 มิถุนายน 2025 (Posting Date)
        • แต่ผู้ขายส่งใบแจ้งหนี้มาช้ากว่าปกติ และวันที่บนใบแจ้งหนี้คือ 5 กรกฎาคม 2025 (Invoice Date)
      • ผลลัพธ์: nvoice Date = 5 ก.ค. ซึ่งช้ากว่า Posting Date = 30 มิ.ย. ถ้าตั้งค่า Require document date เป็น “Error” ระบบจะไม่ยอมให้บันทึก เพราะวันที่ไม่สัมพันธ์กัน

    อ้างอิง:

    https://learn.microsoft.com/en-us/dynamics365-release-plan/2021wave2/finance-operations/dynamics365-finance/adjust-posting-date-automatically-during-invoice-posting

    อะไรคือ e-Tax Invoice ? 

    ในยุคดิจิทัลที่ธุรกิจต้องปรับตัวให้ทันสมัย e-Tax Invoice หรือ ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ เป็นทางเลือกสำคัญที่ช่วยให้การบริหารจัดการเอกสารภาษีสะดวกและมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเป็นระบบที่ออก จัดส่ง และจัดเก็บใบกำกับภาษีในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ ตามมาตรฐานของกรมสรรพากร

    การใช้ e-Tax Invoice ช่วยลดต้นทุน ลดการใช้กระดาษ ลดความผิดพลาดจากการจัดทำเอกสาร และเพิ่มความสะดวกในการตรวจสอบข้อมูล รองรับการทำธุรกรรมออนไลน์ และช่วยให้ธุรกิจดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งยังเป็นไปตามข้อกำหนดของกรมสรรพากร ซึ่งช่วยให้การบริหารภาษีมีความถูกต้องและปลอดภัยมากขึ้นอีกด้วย

    e-Tax Invoice มีกี่ประเภท

    e-Tax Invoice หรือใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้

    🔸 ไม่จำกัดรายได้
    🔸 การรับรองข้อมูลใช้ใบรับรองอิเล็กทรอนิกส์และลงรายมือชื่อดิจิทัล (Digital Signature) เพื่อความถูกต้องและป้องกันการปลอมแปลง
    🔸 การส่งมอบสามารถใช้ได้ตามที่ตกลงกันภายใต้ พ.ร.บ.ธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์
    🔸 การจัดการเอกสาร สามารถจัดทำในรูปแบบใดก็ได้ เช่น PDF, PDF/A-3 หรือ XML
    🔸 การนำส่งให้สรรพากร สามารถส่งได้ 3 ช่องทาง : Web Upload, Host to Host, Service Provider

    🔸 รายได้ไม่เกิน 30 ล้านบาทต่อปี
    🔸 การรับรองเอกสารใช้วิธีประทับรับรองเวลา (Time Stamp) จาก ETDA
    🔸 การส่งมอบเป็นการออก e-Tax Invoice และส่งให้ลูกค้าทางอีเมล
    🔸 การจัดการเอกสารอยู่ในรูปแบบบไฟล์ PDF/A-3 โดยมีข้อมูล XML ตามรูปแบบที่กำหนด
    🔸การนำส่งสรรพากรสามารถส่งข้อมูลผ่าน e-mail โดยอัตโมัติไม่ต้องนำส่งเอกสารยื่นให้สรรพากรโดยตรง

    e-Tax Invoice & e-Receipt คืออะไร?

    e-Tax Invoice (ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์) และ e-Receipt (ใบเสร็จรับเงินอิเล็กทรอนิกส์) คือเอกสารในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้แทนใบกำกับภาษีและใบเสร็จรับเงินแบบกระดาษ โดยมีมาตรฐานที่กรมสรรพากรกำหนด เพื่อรองรับการทำธุรกรรมดิจิทัล ลดต้นทุน และเพิ่มความสะดวกในการจัดเก็บและตรวจสอบข้อมูล 

    • ผู้ประกอบการลงทะเบียนเพื่อใช้บริการระบบ e-Tax Invoice & e-Receipt ผ่านทางเว็บไซต์ของกรมสรรพากรให้เรียบร้อย
    • ผู้ประกอบการสามารถสร้าง e-Tax Invoice หรือ e-Receipt ผ่านระบบที่มีเครื่องมือให้กรอกข้อมูลที่เกี่ยวข้อง เช่น ข้อมูลผู้ขาย, ผู้ซื้อ, รายการสินค้า/บริการ, ราคาสินค้า, จำนวน, อัตราภาษี, ฯลฯ
    • ระบบจะคำนวณภาษีที่ต้องจ่ายและรวมไว้ในใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์
    • ผู้ประกอบการนำออกข้อมูลจากระบบ ERP ส่งให้กับผู้ให้บริการ
    • ผู้ให้บริการทำการลงลายมือชื่อดิจิทัล (Digital Signature) เพื่อรับรองความถูกต้องของเอกสารตามมาตรฐานของกรมสรรพากร
    • ผู้ให้บริการทำการส่งมอบเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ให้ผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับบริการ
    • ผู้ให้บริการทำการจัดทำข้อมูลรูปแบบ XML เพื่อนำส่งให้กับกรมสรรพากร
    • ระบบจะส่งข้อมูล e-Tax Invoice และ e-Receipt ไปยังกรมสรรพากรโดยอัตโนมัติ
    • ข้อมูลที่ส่งจะถูกตรวจสอบโดยกรมสรรพากรและได้รับการยืนยันการรับข้อมูล
    • เมื่อกรมสรรพากรตรวจสอบและยืนยันข้อมูลสำเร็จ จะมีการส่งสถานะการรับข้อมูลกลับมายังผู้ประกอบการ
    • หลังจากการออก e-Tax Invoice และ e-Receipt ข้อมูลทั้งหมดจะถูกจัดเก็บในระบบคลาวด์หรือฐานข้อมูลที่ปลอดภัย
    • ผู้ประกอบการสามารถเข้าไปตรวจสอบหรือดาวน์โหลดใบกำกับภาษีและใบเสร็จรับเงินย้อนหลังได้ทุกเมื่อ


    ประเภทเอกสารที่สามารถจัดทำ e-Tax Invoice & e-Receipt

    🔸ใบกำกับภาษี (Tax Invoice) ตามมาตรา 86/4 แห่งประมวลรัษฎากร
    🔸ใบกำกับภาษีอย่างย่อ (Tax Invoice) ตามมาตรา 86/6 แห่งประมวลรัษฎากร
    🔸ใบเพิ่มหนี้ (Debit Note) ตามมาตรา 86/9 แห่งประมวลรัษฎากร
    🔸ใบลดหนี้ (Credit Note) ตามมาตรา 86/10 แห่งประมวลรัษฎากร
    🔸ใบรับหรือใบเสร็จรับเงิน (Receipt) ตามมาตรา 105 ทวิ แห่งประมวล

    ซึ่งได้มีการจัดทำข้อความขึ้นเป็นข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งได้ลงลายมือชื่อดิจิทัล (Digital Signature) ด้วยวิธีการที่กรมสรรพากรกำหนด

    ประโยชน์ของการใช้ e-Tax Invoice & e-Receipt ใน ERP

    ✅ ระบบ ERP สามารถออก e-Tax Invoice และ e-Receipt อัตโนมัติ ลดข้อผิดพลาดจากการกรอกข้อมูลด้วยมือ
    ✅ ลดเวลาการจัดทำและจัดส่งเอกสารไปยังลูกค้า ✅ ช่วยให้ธุรกิจทุกประเภทสามารถออกใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ได้สะดวกขึ้น

    ✅ ลดค่าใช้จ่ายในการพิมพ์เอกสาร การจัดส่ง และการจัดเก็บ
    ✅ ลดการใช้กระดาษ ช่วยให้ธุรกิจดำเนินงานแบบ Paperless

    ✅ e-Tax Invoice และ e-Receipt และรายงานนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่มในระบบ ERP สามารถส่งตรงไปยังกรมสรรพากรในรูปแบบที่ถูกต้อง เช่น XML หรือ PDF/A-3 พร้อมลายเซ็นดิจิทัล
    ✅ ช่วยให้การจัดการภาษีเป็นไปตามข้อกำหนด ลดความเสี่ยงในการถูกตรวจสอบ

    ✅ ระบบ ERP บันทึก e-Tax Invoice และ e-Receipt ไว้ในฐานข้อมูล ทำให้สามารถค้นหาและตรวจสอบย้อนหลังได้ง่าย
    ✅ ลดความยุ่งยากในการเตรียมเอกสารส่งให้กรมสรรพากร

    การทำงานของระบบ e-Tax Invoice & e-Receipt จะช่วยให้กระบวนการทางภาษีมีความรวดเร็ว แม่นยำ และโปร่งใสมากขึ้น ทั้งยังช่วยลดการใช้กระดาษและลดขั้นตอนที่ยุ่งยากในการจัดการภาษีแบบเดิม

    เริ่มใช้งาน e-Tax Package

    บริษัท อินโนวิซ โซลูชั่นส์ จำกัด (INNOVIZ) เล็งเห็นถึงความสำคัญของ การจัดทำและนำส่งข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ตามนโยบายของภาครัฐ และเพื่ออำนวยความสะดวกรวดเร็วให้กับลูกค้าของเรา INNOVIZ ได้ร่วมมือกับ Partner ที่เป็น e-Tax Provider จัดทำ Solution เรียกว่า “e-Tax Package” เพื่อตอบสนองความต้องการดังกล่าว สำหรับ Version : Microsoft D365 และ AX2012 หากองค์กรใดสนใจใช้งาน e-Tax Package สามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ได้ที่ : (Email : SalesTeam@innovizsolutions.com ,Tel : 02-6514542) หรือ https://www.innovizsolutions.com/contact/

    อ้างอิง:

    https://etax.rd.go.th/etax_staticpage/app/#/index/aboutinfo#top

    ในยุคที่การแข่งขันทางธุรกิจมีความเข้มข้น ประสิทธิภาพเป็นสิ่งที่ทุกองค์กรต้องการ เทคโนโลยีจึงกลายเป็นตัวแปรสำคัญที่จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถให้ธุรกิจ โดยเฉพาะระบบ Enterprise Resource Planning (ERP) ที่สามารถช่วยรวมข้อมูลและกระบวนการการทำงานต่างๆ ขององค์กร เช่น การเงิน การจัดซื้อ การผลิต และทรัพยากรบุคคล เข้าไว้ในระบบเดียวเพื่อให้สามารถจัดการและมองเห็นข้อมูลได้แบบเรียลไทม์

    ยกระดับ ERP ด้วย RPA ตัวช่วยเพิ่มประสิทธิภาพงานจัดการและการวางแผนทรัพยากรทางธุรกิจให้เติบโตยุคดิจิทัล

    อย่างไรก็ตาม หากองค์กรมีกระบวนการทำงานที่ต้องทำซ้ำๆ รวมถึงมีปริมาณข้อมูลมหาศาลจากหลากหลายแหล่งที่มาจนต้องใช้ทรัพยากรและระยะเวลานานในการประมวลผล อีกทั้งยังต้องเชื่อมต่อระบบ ERP กับระบบอื่นๆ ภายในองค์กรหรือกับระบบภายนอก การมีตัวช่วยเพิ่มอย่าง Robotic Process Automation (RPA) จะยิ่งเพิ่มประสิทธิภาพและขีดความสามารถให้ระบบ ERP มากยิ่งขึ้น


    RPA คืออะไร ทำไมสำคัญกับธุรกิจ  

    Robotic Process Automation (RPA) คือ เทคโนโลยีที่สร้างซอฟต์แวร์โรบอตหรือหุ่นยนต์อัตโนมัติสำหรับทำงานบนระบบคอมพิวเตอร์โดยอัตโนมัติ โดยมีมนุษย์เป็นผู้ออกแบบกระบวนการและขั้นตอนการทำงาน เพื่อให้หุ่นยนต์สามารถทำงานซ้ำๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การป้อนข้อมูล การประมวลผลเอกสาร หรือการตรวจสอบข้อมูล ทำให้ช่วยลดต้นทุนทั้งในด้านเวลาและเงินให้กับธุรกิจในระยะยาว ไม่เพียงแค่ลดภาระงานที่ต้องทำซ้ำๆ แต่ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานได้ด้วยเช่นกัน 

    4 สัญญาณ รู้ได้อย่างไรว่าธุรกิจต้องใช้ RPA บนระบบ ERP



    RPA ช่วยธุรกิจได้อย่างไร 

    RPA สามารถนำไปปรับใช้กับกระบวนการทำงานต่างๆ ที่เดิมต้องใช้ทรัพยากรและระยะเวลานาน ให้เป็นไปแบบอัตโนมัติ ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพธุรกิจในหลากหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็น 

    RPA ช่วยธุรกิจได้อย่างไร
    • ลดการทำงานซ้ำซ้อน  

    RPA ช่วยให้กระบวนการทำงานที่ซ้ำๆ สามารถทำได้อย่างรวดเร็ว เช่น กระบวนการทางการเงินและบัญชีที่มีการบันทึกข้อมูลเป็นประจำทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นการป้อนข้อมูล การจัดทำรายงาน การอัปเดตข้อมูลในระบบ โดยการใช้ RPA เข้ามาช่วยในการทำงาน จะทำให้สามารถนำทรัพยากรที่มีอยู่ไปจัดการงานอื่นๆ เพิ่มเติมได้ 

    • เพิ่มความแม่นยำในการทำงาน    

    เมื่อองค์กรต้องจัดการกับข้อมูลจำนวนมาก เช่น การเก็บสถิติจากหลากหลายแหล่ง หรือการตรวจสอบข้อมูลและเอกสารต่างๆ RPA สามารถเข้ามาใช้ทำตามขั้นตอนของกระบวนการที่ถูกออกแบบไว้ โดยปรับกระบวนการทำงานให้เป็นไปอย่างอัตโนมัติ ซึ่งช่วยทำให้งานไม่ตกหล่นและถูกต้องแม่นยำ สามารถลดข้อผิดพลาดจากการทำงานด้วยมนุษย์ 

    • เชื่อมต่อกับระบบหลายระบบ   

    แม้ว่า ERP ส่วนใหญ่สามารถจัดการข้อมูลภายในระบบได้ดี แต่เมื่อองค์กรต้องการเชื่อมต่อ ERP กับระบบ Legacy หรือระบบอื่นๆ ที่ไม่มี API รวมถึงข้อมูลที่ต้องดึงจากแหล่งภายนอก การเชื่อมต่ออาจต้องใช้วิธีการซับซ้อนและใช้ระยะเวลานาน โดยการมี RPA สามารถช่วยให้การเชื่อมต่อและแลกเปลี่ยนข้อมูลทำได้ง่ายขึ้นและรวดเร็วขึ้น เช่น การดึงข้อมูลจาก ERP แล้วป้อนเข้าสู่ระบบ CRM ได้แบบเรียลไทม์  

    • ลดต้นทุนและควบคุมค่าใช้จ่ายในระยะยาว

    การใช้ RPA สามารถช่วยลดต้นทุนในกระบวนการทำงาน ด้วยการทำงานโดยระบบอัตโนมัติที่ช่วยลดค่าใช้จ่ายในเรื่องของค่าแรงงานและเวลา อีกทั้งยังสามารถใช้ช่วยควบคุมค่าใช้จ่ายและคำนวณความคุ้มค่าในการจัดซื้อสินค้าต่างๆ  เช่น การเปรียบเทียบวัสดุประเภทอื่นตามที่ข้อมูลบริษัทมี เพื่อจัดซื้อวัสดุที่ดีที่สุดในราคาที่ดีที่สุด 

    • เพิ่มโอกาสทางธุรกิจ  

    RPA สามารถใช้ติดตามข้อมูลที่สำคัญๆ ได้แบบเรียลไทม์ เช่น การสรุปยอดขายรายวัน การจัดการระดับสินค้าคงคลัง หรือการติดตามและตรวจสอบสถานะสินค้า ทำให้องค์กรสามารถนำข้อมูลไปวิเคราะห์แนวโน้มตลาดและประกอบการตัดสินใจในการหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ได้อย่างทันท่วงที  

    Power Automate Desktop และ UiPath สองเครื่องมือ RPA บน ERP ที่น่าสนใจ 

    เมื่อพูดถึงเครื่องมือ RPA ที่ใช้ทำงานร่วมกับระบบ ERP เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้กับกระบวนการทำงานต่างๆ สองเครื่องมือที่ใช้งานในวงกว้างและได้รับความน่าเชื่อถือคือ Power Automate Desktop และ UiPath ซึ่งมีความสามารถที่แตกต่างกันออกไป และเหมาะสมกับธุรกิจที่ไม่เหมือนกัน 

    Power Automate Desktop คืออะไร และเหมาะกับธุรกิจแบบไหน

    Power Automate Desktop เป็นแพลตฟอร์ม RPA จาก Microsoft ที่ออกแบบมาสำหรับช่วยงานที่ทำซ้ำเป็นประจำ เช่น การประมวลผลเอกสารหรือการดึงข้อมูลจากระบบ ให้ดำเนินไปโดยอัตโนมัติ โดย Power Automate Desktop เหมาะสำหรับองค์กรที่ใช้ Microsoft 365 หรือ ERP Dynamics 365 สามารถใช้ช่วยลดขั้นตอนที่ต้องใช้มนุษย์ และเชื่อมต่อข้อมูลระหว่างระบบต่างๆ ได้อย่างราบรื่น  

    ทำความรู้จัก Power Automate Desktop

    Power Automate Desktop เหมาะกับธุรกิจแบบไหน 

    • ธุรกิจขนาดเล็กถึงขนาดใหญ่Power Automate Desktop รองรับการทำงานตั้งแต่ผู้ใช้งานรายบุคคลไปจนถึงองค์กรขนาดใหญ่ 
    • องค์กรที่ใช้ผลิตภัณฑ์ในเครือ Microsoft – เช่น Office 365, ERP Dynamics 365 หรือ Azure ซึ่งสามารถบูรณาการกับ Power Automate Desktop ได้อย่างง่ายดาย 
    • ธุรกิจที่ต้องการลดขั้นตอนในงานเอกสารเช่น การจัดการคำสั่งซื้อ การออกเอกสารภาษี หรือการเชื่อมต่อข้อมูลระหว่างระบบต่างๆ  

    ตัวอย่างกรณีการใช้งาน (Use Case) 

    • การแจ้งเตือนและการจัดการอีเมลอัตโนมัติ 

    Power Automate Desktop ช่วยส่งการแจ้งเตือนหรืออีเมลได้แบบอัตโนมัติ เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขไฟล์หรือข้อมูลที่สำคัญ เช่น การแจ้งเตือนเมื่อมีการอัปเดตไฟล์ใน SharePoint หรือการส่งอีเมลตอบกลับอัตโนมัติ  

    • การเชื่อมต่อข้อมูลระหว่างแอปพลิเคชัน 

    เชื่อมต่อการโยกย้ายหรือแก้ไขข้อมูลระหว่างแอปพลิเคชันต่าง ๆ เช่น การย้ายข้อมูลจาก Excel ไปยัง SharePoint หรือการอัปเดตข้อมูลใน ERP Dynamics 365 เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงในส่วนต่างๆ  

    • การจัดการกระบวนการอนุมัติต่างๆ 

    สร้างเวิร์กโฟลว์สำหรับการอนุมัติเอกสารหรือคำขอต่าง ๆ เช่น การอนุมัติคำขอซื้อสินค้า หรือการอนุมัติใบลางาน ช่วยลดเวลาการดำเนินการและเพิ่มความโปร่งใสในกระบวนการ  

    • การจัดการขั้นตอนการบริการลูกค้า 

    เพิ่มความรวดเร็วในิการตอบกลับคำถามหรือแก้ไขปัญหาให้ลูกค้า โดยทำให้เป็นกระบวนการแบบอัตโนมัติ เช่น การส่งคำตอบอัตโนมัติสำหรับคำถามที่พบบ่อย หรือการส่งมอบงานไปยังทีมที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะช่วยเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้าและลดภาระงานของทีมบริการลูกค้า


    UiPath คืออะไร และเหมาะกับธุรกิจแบบไหน 

    UiPath เป็นอีกหนึ่งแพลตฟอร์ม RPA ที่มีความโดดเด่นในเรื่องการทำงานร่วมกับระบบที่มีความซับซ้อนและการผสมผสาน AI เข้าไปในกระบวนการทำงาน เช่น การทำ OCR (Optical Character Recognition) เพื่ออ่านข้อมูลจากเอกสาร หรือการประมวลผลข้อมูลจำนวนมาก เหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการเพิ่มศักยภาพในหลายมิติ เช่น การเงิน การจัดซื้อ และโลจิสติกส์  

    ทำความรู้จัก UiPath

    หมาะกับธุรกิจแบบไหน

    • ธุรกิจทุกขนาดตั้งแต่ธุรกิจขนาดเล็กไปจนถึงองค์กรขนาดใหญ่ที่ต้องการระบบที่ยืดหยุ่น 
    • ธุรกิจที่ต้องการให้กระบวนการซับซ้อนเป็นแบบอัตโนมัติเช่น การกระทบยอดบัญชี การจัดซื้อจัดจ้าง หรือการประมวลผลข้อมูลจากเอกสารหลายรูปแบบ 
    • ธุรกิจที่ต้องการเชื่อมต่อกับระบบที่หลากหลายเช่น ระบบ ERP ระบบ CRM หรือระบบภายในองค์กรอื่นๆ ผ่าน AI และ Machine Learning  

    ตัวอย่างกรณีการใช้งาน (Use Case) 

    • การประมวลผลใบแจ้งหนี้  

    UiPath ช่วยให้การดึงข้อมูลจากใบแจ้งหนี้และป้อนเข้าสู่ระบบบัญชีเป็นไปแบบอัตโนมัติ ทำให้ลดข้อผิดพลาดและเพิ่มความเร็วในการดำเนินงาน  

    • การจัดการอีเมล 

    UiPath สามารถจัดการอีเมลขาเข้าด้วยการจัดหมวดหมู่ ดาวน์โหลดไฟล์แนบ และตอบกลับแบบอัตโนมัติ ทำให้การจัดการอีเมลมีประสิทธิภาพมากขึ้น  

    • การอัปเดตข้อมูลลูกค้า  

    UiPath ช่วยให้การอัปเดตข้อมูลลูกค้าในระบบ CRM เป็นแบบอัตโนมัติ ทำให้ลดระยะเวลาการดำเนินงาน และอัปเดตข้อมูลได้อย่างครบถ้วนแบบเรียลไทม์ 

    • การจัดการสินค้าคงคลัง 

    UiPath ช่วยให้การอัปเดตสต็อกสินค้าเป็นแบบอัตโนมัติ เช่น การแจ้งเตือนเมื่อสินค้าต่ำกว่าระดับที่กำหนด และการสั่งซื้อสินค้าใหม่ ทำให้ลดข้อผิดพลาดและเพิ่มความรวดเร็วในการจัดการสินค้าคงคลัง  

    เพิ่มประสิทธิภาพธุรกิจด้วย RPA 

    RPA ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือสำหรับเพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการดำเนินงานต่างๆ แต่ยังเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจปรับตัวได้อย่างรวดเร็วและเติบโตในยุคดิจิทัล หากธุรกิจคุณกำลังมองหาโซลูชันที่ตอบโจทย์ความต้องการขององค์กร Innoviz Solutions พร้อมให้คำปรึกษาและนำเสนอโซลูชันที่เหมาะสม ติดต่อเราได้ที่: 

    • Tel: 02-6514542 

    คงกล่าวได้ว่าการนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ (IPO) อาจเป็นเป้าหมายของหลายธุรกิจ เพื่อนำเงินระดมทุนไปใช้ในการขยายกิจการในอนาคต อย่างไรก็ตาม กว่าจะไปถึงหมุดหมายของการ IPO นั้น ในระหว่างทางมีขั้นตอนที่ธุรกิจต้องเตรียมการและระบบหลังบ้านที่ต้องเตรียมพร้อมไม่น้อย เนื่องจากเงื่อนไขการจัดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์มีเกณฑ์ต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นหลักเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) หรือ ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ที่ไม่ได้ดูเพียงแค่ตัวเลขรายได้หรือผลกำไรเท่านั้น แต่ยังดูไปจนถึงโครงสร้าง ระบบบัญชี รวมถึงระบบภายในด้วยเช่นกัน ดังนั้นระบบ ERP จึงเป็นอีกตัวช่วยหนึ่งในการบริหารจัดการทรัพยากรภายในองค์กรให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด


    ธุรกิจควรเตรียมตัวอย่างไรก่อน IPO 

    เมื่อตัดสินใจว่าจะจดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์ องค์กรจำเป็นต้องปรับปรุงและพัฒนาให้เป็นไปตามมาตรฐานสำหรับการเป็นบริษัทจดทะเบียน ทั้งขั้นตอนที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงาน ระบบงานต่างๆ ในกิจการ เช่น ระบบบัญชี ระบบการควบคุมภายใน เป็นต้น 

    เพราะการจะทำให้ผู้ลงทุนมั่นใจ เข้ามาร่วมลงทุนด้วย จะต้องสร้างความน่าเชื่อถือ มีความโปร่งใสในการดำเนินกิจการ ต้องแสดงให้เห็นว่าบริษัทมีการจัดสรรผลประโยชน์ให้ผู้ถือหุ้นอย่างเป็นธรรม มีคุณสมบัติพร้อมและเป็นมาตรฐาน 

    ธุรกิจควรเตรียมตัวอย่างไรก่อน IPO

    ระบบ ERP สามารถเข้าไปช่วยองค์กรเตรียมความพร้อมได้ใน 2 ส่วนหลักๆ

    1. ระบบบัญชีและรายงานทางการเงิน 

    ก่อนเข้า IPO นั้น ระบบงานหลักส่วนแรกที่ต้องมีการปรับปรุงให้เป็นไปตามเกณฑ์คือระบบการจัดทำงบการเงิน โดยต้องทำให้เป็นไปตามมาตรฐานบัญชี เพื่อให้รายงานทางการเงินสะท้อนความสามารถในการดำเนินงานของธุรกิจได้อย่างถูกต้อง ซึ่งก่อนหน้านี้การจัดทำบัญชีโดยทั่วไป ธุรกิจอาจทำบัญชีเพียงเพื่อยื่นต่อกรมสรรพากรสำหรับชำระภาษี 

    หากต้องเตรียมตัว IPO ระบบบัญชีเป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องจัดการ เพราะธุรกิจต้องเตรียมเอกสารประกอบคำขอ IPO เป็นงบการเงิน 3 ปีล่าสุด และงบไตรมาสล่าสุด ซึ่งต้องเป็นไปตามมาตรฐานการบัญชี จากกิจการที่ไม่มีส่วนได้เสียสาธารณะ Non-Publicly Accountable Entities (NPAEs) เป็นมาตรฐานการบัญชีจากกิจการที่มีส่วนได้เสียสาธารณะ Publicly Accountable Entities (PAEs) โดยปัจจุบันประเทศไทยใช้มาตรฐานการรายงานทางการเงิน Thai Financial Reporting Standards (TFRS)  

    การมีระบบ ERP สามารถช่วยให้ธุรกิจจัดเตรียมและจัดทำผลการดำเนินงานได้รวดเร็วยิ่งขึ้น จากการจัดเก็บเอกสารต่างๆ ให้อยู่ภายใต้ระบบเดียวกัน ไม่กระจัดกระจาย ง่ายต่อการค้นหาและนำข้อมูลมาใช้งาน เมื่อเอกสารและรายงานทางการเงินได้รับการจัดการอย่างมีระบบ จะช่วยให้ธุรกิจสามารถออกงบการเงินได้รวดเร็วยิ่งขึ้น  

    2. ระบบการควบคุมภายใน  

    เรื่องระบบควบคุมภายใน นับเป็นอีกเรื่องที่มีผลต่อการพิจารณาอนุญาต IPO โดยระบบควบคุมภายในอาจแบ่งเป็น 2 ส่วนใหญ่ๆ  

    • Operational Control การมีระบบการควบคุมภายในที่เพียงพอต่อการปฏิบัติงานให้มีประสิทธิภาพ สามารถป้องกัน บริหารจัดการความเสี่ยงหรือความเสียหายต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี ตัวอย่างของการมีระบบการควบคุมภายใน เช่น การจัดทำเอกสารหลักฐานประกอบการทำรายการและจัดเก็บอย่างเป็นระบบเพื่อให้ตรวจสอบได้ การกระทบยอดและการสอบทาน การตรวจนับ สินค้าคงเหลือ เป็นต้น 
    • Management Control การมีระบบการควบคุมด้านการบริหารจัดการ ที่แสดงให้เห็นว่ามีระบบ Check and Balance ที่ดี มีการแบ่งแยกอำนาจหน้าที่ชัดเจนเป็นลายลักษณ์อักษร และปฏิบัติตามที่กำหนดไว้ มีการกำหนดอำนาจอนุมัติชัดเจนและเหมาะสม หากเป็นรายการที่มีมูลค่าสูงควรให้คณะกรรมการบริษัทเป็นผู้อนุมัติ 

    ในการบริหารจัดการระบบการควบคุมภายใน การมีระบบ ERP สามารถเข้ามาช่วยได้ทั้งในส่วนที่เป็น Operational Control และ Management Control เนื่องจากระบบ ERP เป็นระบบที่เชื่อมโยงการทำงานภายในองค์กรครอบคลุมได้ทุกส่วนงาน ไม่ว่าจะเป็นระบบการเบิกจ่ายสินค้า หรือระบบอนุมัติต่างๆ ทำให้กระบวนการทั้งหมดดำเนินไปอย่างมีขั้นตอน สามารถตรวจสอบได้ นอกจากนี้ การมีระบบยังช่วยสร้างความมั่นใจว่า องค์กรมีการเก็บข้อมูลครบถ้วน ปลอดภัย สามารถกำหนดสิทธิ์ผู้ใช้ตามตำแหน่งหน้าที่ แม้ว่าไม่ได้มีข้อกำหนดโดยตรงเกี่ยวกับระบบ ERP แต่การมีระบบที่ดีมีมาตรฐานจะช่วยให้กระบวนการตรวจสอบทั้ง Internal Audit และ External Audit ผ่านไปได้อย่างราบรื่น 

    IPO แล้วยังไม่จบ ภารกิจยังมีต่อ 

    ERP ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้ธุรกิจอย่างไรหลัง IPO

    การ IPO อาจถือได้ว่าเป็นจุดหมายแรกในการเปลี่ยนผ่านสู่การเป็นบริษัทจดทะเบียน ซึ่งเมื่อเป็นบริษัทจดทะเบียนแล้ว ย่อมมีภารกิจสำคัญตามมาคือการสร้างความมั่นใจให้กับผู้เกี่ยวข้องรวมไปถึงผู้ถือหุ้นว่า บริษัทมีการดำเนินงานที่เป็นระบบ และมีความโปร่งใส โดยหน้าที่ของบริษัทจดทะเบียนประกอบไปด้วย 

    1. การเปิดเผยข้อมูล 

    การเปิดเผยข้อมูลให้กับสาธารณะจะต้องมีความถูกต้อง ครบถ้วน ทันเวลา เพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุน โดยข้อมูลที่ต้องเปิดเผยอาจแบ่งเป็น 2 ประเภทหลักๆ คือ 1. ข้อมูลที่ต้องรายงานตามรอบระยะเวลาบัญชี ได้แก่ งบการเงินรายไตรมาส งบการเงินประจำปี แบบแสดง รายการข้อมูลประจำปี (แบบ 56-1) และรายงานประจำปี  (แบบ 56-2) รวมไปไปถึง และ 2. ข้อมูลที่ต้องรายงานตามเหตุการณ์ โดยเปิดเผยตามความสำคัญของข้อมูล เช่น ข้อมูลที่ต้องเปิด ข้อมูลที่ต้องเปิดเผยทันที ได้แก่ การได้มาหรือจำหน่ายสินทรัพย์ การเพิ่มทุนลดทุน การซื้อหุ้นคืน การไม่จ่ายเงินปันผล เป็นต้น รวมไปถึงข้อมูลที่ต้องเปิดเผยภายใน 3 วัน เช่น การย้ายที่ตั้งสำนักงานใหญ่ การเปลี่ยนแปลงกรรมการ และข้อมูลที่ต้องเปิดเผยภายใน 14 วัน ได้แก่ รายงานการประชุมผู้ถือหุ้น  

    จากความสำคัญเรื่องการเปิดเผยข้อมูล จะเห็นได้ว่า การมีระบบ ERP ที่มีมาตรฐานจะช่วยให้ธุรกิจปิดงบการเงินได้รวดเร็ว มีการเก็บเอกสารอย่างเป็นระบบ ง่ายต่อการตรวจสอบ และสามารถเปิดเผยข้อมูลได้ครบถ้วนถูกต้อง

    2. การสร้างการเติบโตในอนาคต

    การผลักดันให้บริษัทเติบโตหลัง IPO เป็นอีกภารกิจสำคัญ ซึ่งในยุคปัจจุบัน “ข้อมูล” คือสิ่งที่จะขาดไปไม่ได้ในการทำธุรกิจ การมีระบบ ERP ซึ่งฐานข้อมูลหลังบ้านที่ดีจะช่วยให้ธุรกิจมีข้อมูลเชิงลึกที่ครบถ้วนและเรียลไทม์ เพื่อประกอบการตัดสินใจทางธุรกิจและสร้างผลลัพธ์จากการลงทุนได้อย่างคุ้มค่าที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการขยายสาขา การทำการตลาด หรือการลงทุนในกิจการอื่นๆ  

    นอกจากนี้ ระบบ ERP มีความสำคัญอย่างมากเมื่อธุรกิจเติบโตขึ้น โดยระบบหลังบ้านควรสามารถรองรับการขยายตัวในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นระบบการบริหารจัดการภายใน (Operation) ระบบบัญชี หรือระบบซัพพลายเชน ไม่เช่นนั้นอาจทำให้ธุรกิจมีต้นทุนในการเปลี่ยนไปใช้ระบบใหม่ (Switching cost) ซึ่งมีผลให้ต้องกลับไปติดตั้งระบบใหม่ จนเสี่ยงไม่ทันกับการขยายตัว และมีผลต่อผลประกอบการที่นักลงทุนคาดหวัง รวมถึงเงินลงทุนที่เพิ่มขึ้นจากการลงทุนซ้ำซ้อน


    Checklist ลงทุน ERP อย่างไร เมื่อธุรกิจจะ IPO 

    Checklist ลงทุน ERP อย่างไร เมื่อธุรกิจจะ IPO

    คำถามน่าคิดคือเมื่อระบบ ERP มีความสำคัญทั้งสำหรับช่วงก่อน IPO และหลัง IPO ธุรกิจควรลงทุนในระบบ ERP อย่างไร จึงจะสามารถรองรับการเติบโตได้ในระยะยาว ซึ่งจากประสบการณ์ของ Innoviz Solutions ที่ปรึกษาชั้นนำและผู้ให้บริการ Microsoft Dynamics 365 Finance and Supply Chain ได้รวบรวมเช็กลิสต์เบื้องต้นเพื่อช่วยในการตัดสินใจลงทุน ERP  

    • ควรลงทุนในระบบ ERP ล่วงหน้าอย่างน้อย 2-3 ปี เนื่องจากต้องมีการเก็บข้อมูลย้อนหลัง 
    • ควรเริ่มลงทุน ERP ในส่วนที่เป็นระบบการเงินก่อน (Finance) แล้วค่อยขยายไประบบซื้อขาย (Supply chain) หรือระบบการผลิต (Production) 
    • เลือกลงทุนในระบบ ERP ที่มีมาตรฐานและได้รับการยอมรับ   
    • ควรลงทุนกับระบบ ERP ล่วงหน้า เพราะ IPO คือการขยายกิจการ หากมาดำเนินการย้อนหลังจะไม่สามารถรองรับการขยายตัวได้ 

    คำถามน่าคิดคือเมื่อระบบ ERP มีความสำคัญทั้งสำหรับช่วงก่อน IPO และหลัง IPO ธุรกิจควรลงทุนในระบบ ERP อย่างไร จึงจะสามารถรองรับการเติบโตได้ในระยะยาว ซึ่งจากประสบการณ์ของ Innoviz Solutions ที่ปรึกษาชั้นนำและผู้ให้บริการ Microsoft Dynamics 365 Finance and Supply Chain ได้รวบรวมเช็กลิสต์เบื้องต้นเพื่อช่วยในการตัดสินใจลงทุน ERP  

    นอกจากนี้ Innoviz มองว่า เรื่อง “บุคลากร” เป็นอีกปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการพัฒนาระบบ ERP ให้เกิดขึ้นจริง ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการผลักดันอย่างต่อเนื่องทั้งจากผู้บริหารและฝ่ายปฏิบัติการ 

    • บริหาร – มีบทบาทสำคัญในการกำหนดและวางนโยบายการทำงาน เพื่อให้สามารถนำระบบ ERP มาใช้ควบคุมกระบวนการดำเนินงานต่างๆ ให้เป็นไปตามนโยบายดังกล่าว เช่น การอนุมัติเอกสารต่างๆ แนวทางการจัดการด้านต้นทุน เป็นต้น  
    • ฝ่ายปฏิบัติการ – มีบทบาทในการปฏิบัติตามกระบวนการต่างๆ เพื่อช่วยให้การบันทึกข้อมูลเป็นไปอย่างถูกต้อง สามารถนำข้อมูลดังกล่าวที่อยู่ในระบบไปวิเคราะห์ต่อได้อย่างแม่นยำ

    Innoviz Solutions มีประสบการณ์ให้บริการในหลากหลายอุตสาหกรรม ซึ่งประสบความสำเร็จมากกว่า 400 บริษัท ด้วยบริการด้าน ERP และ BPI (Business Process Improvement) ที่พร้อมด้วยผู้เชี่ยวชาญและพันธมิตรที่แข็งแกร่ง สามารถช่วยให้ธุรกิจเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล (Digital Transformation) ได้อย่างราบรื่น ก้าวข้ามความท้าทายอันซับซ้อน และสร้างโอกาสการเติบโตใหม่ๆ หากองค์กรใดสนใจใช้งานระบบ ERP สามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ได้ที่ : (Email : SalesTeam@innovizsolutions.com ,Tel : 02-6514542) หรือ https://www.innovizsolutions.com/contact/ 

    ขอบคุณข้อมูลจาก 

    IPO roadmap guidebook : เส้นทางสู่การเป็นบริษัทจดทะเบียน 

    chrome-extension://efaidnbmnnnibpcajpcglclefindmkaj/https://media.live-platforms.com/livepltf/Documents/2023/Dec/ipo-roadmap-guidebook.pdf 

    ทำความรู้จักกับ Microsoft Copilot

    Copilot in Microsoft Dynamics 365 Finance & Supply Chain Management เป็น Features ที่ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อช่วยในการทำงานด้าน Finance and Supply Chain Management โดยมีฟังก์ชันการทำงานที่ออกแบบมาเพื่อเสริมประสิทธิภาพและความแม่นยำในการดำเนินงาน เช่น การวิเคราะห์ข้อมูล การคาดการณ์แนวโน้ม และการปรับปรุงกระบวนการทำงานให้กับองค์กร 

    Copilot ช่วยให้ผู้ใช้สามารถตัดสินใจได้ดีขึ้นโดยการให้ข้อมูลเชิงลึกและคำแนะนำที่มีประโยชน์ รวมถึงการลดเวลาที่ใช้ในการทำงานแบบเดิมซ้ำๆ ช่วยให้องค์กรสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นและตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงในตลาดได้อย่างรวดเร็ว

    ประโยชน์จากการใช้งาน Copilot in Dynamics 365 Finance & SCM

    1. Generative help and guidance with Copilot

    การให้ความช่วยเหลือและคำแนะนำโดยอัตโนมัติ โดยใช้ AI เข้าถึงเอกสารสาธารณะทั้งหมดเพื่อเสนอความช่วยเหลือที่แม่นยำ ทำความเข้าใจและตอบกลับคำถามของผู้ใช้แบบเรียลไทม์ ทั้งจากการตอบคำถามง่ายๆไปจนถึงการอธิบายเรื่องที่ซับซ้อน และยังเรียนรู้จากการโต้ตอบกับผู้ใช้ ปรับปรุงคำตอบและคำแนะนำให้เหมาะสมกับความต้องการของผู้ใช้มากขึ้นเรื่อยๆ โดยผู้ใช้งานสามารถเปิดแท็บ Copilot sidecar ได้โดยใช้ปุ่ม Copilot ที่ด้านบนของแต่ละหน้า

    Generative help and guidance with Copilot
    Copilot works for in-app help and guidance

    2. Workflow history summary

    • ในหน้า Workflow History มีแท็บ “Summary by Copilot” ช่วยสรุปกระบวนการทำงานของ Workflow โดยบรรทัดแรกจะระบุชื่อผู้ส่ง วันที่ส่ง สถานะปัจจุบัน และความคิดเห็น จากนั้นจะแสดงการดำเนินการล่าสุดใน workflow เช่น การอนุมัติ การมอบหมาย การปฏิเสธ และคำขอแก้ไข พร้อมวันที่และชื่อผู้ดำเนินการ รวมถึงความคิดเห็น ซึ่งอาจสรุปให้สั้นลงหากมีความยาวเกินพื้นที่ที่กำหนดไว้
    • เป้าหมายหลัก เพื่อเร่งกระบวนการอนุมัติ โดยแสดงข้อมูลสำคัญในหน้าประวัติการทำงานเพื่อให้ผู้อนุมัติสามารถตัดสินใจได้รวดเร็วขึ้น

    3. Collections coordinator summary

    • ในหน้า Collections coordinator details แท็บ “Summary by Copilot” แสดงภาพรวมของกิจกรรมที่มอบหมายให้กับผู้ประสานงานการเก็บเงิน (ตัวแทนการเก็บเงิน) รวมถึงสรุปยอดค้างชำระ ประวัติการชำระเงิน และเครดิตที่เหลือสำหรับลูกค้าให้กับผู้ประสานงานการจัดเก็บหนี้ (ตัวแทนการจัดเก็บหนี้)
    • การสรุปข้อมูลอิงจากประวัติการชำระเงินของลูกค้าที่เลือกในปีที่ผ่านมา จำนวนหนี้ที่ค้างอยู่ และใบแจ้งหนี้ในช่วงหกเดือนที่ผ่านมา นอกจากนี้ยังสร้างอีเมลที่สร้างโดย AI เพื่อให้ผู้ใช้สามารถแก้ไขและส่งไปยังลูกค้าเพื่อเตือนเกี่ยวกับการชำระเงินที่ล่าช้า
    • เป้าหมายหลัก เพื่อรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องทั้งหมดสำหรับลูกค้าที่มียอดค้างชำระในที่เดียว เพื่อให้ผู้ประสานงานการจัดเก็บหนี้ใช้เวลาน้อยลงในการค้นหารายละเอียดและมีเวลามากขึ้นในการติดต่อกับลูกค้า

    4. Customer page summary

    • ในหน้า Customer Details มีแท็บ “Summary by Copilot” ช่วยสรุปสถานะบัญชีลูกค้าและข้อมูลเชิงลึกที่เกี่ยวข้อง เช่น ข้อมูลการชำระเงิน ใบแจ้งหนี้ ใบสั่งขาย ส่วนลด การทำข้อตกลงยอดขาย ค่าตอบแทน และยอดค้างชำระในช่วงปีที่ผ่านมา
    • เป้าหมายหลัก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและลดเวลาที่ผู้ใช้งานใช้ในการสลับระหว่างหน้าฟอร์มและโมดูลต่าง ๆ ในระบบ

    5. Confirmed purchase order changes workspace

    Workspace ที่ช่วยจัดการและติดตามการเปลี่ยนแปลงใบคำสั่งซื้อที่ยืนยันแล้ว โดยแสดงข้อมูลของคำสั่งซื้อที่ยืนยันทั้งหมดและการเปลี่ยนแปลงล่าสุด บอกสถานะของแต่ละคำสั่งซื้อรวมถึงการดำเนินการที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ และทำการแจ้งเตือนผู้ใช้งานที่เกี่ยวข้องเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูล รวมถึงส่งใบคำสั่งซื้อเข้ากระบวนการอนุมัติให้โดยอัตโนมัติตามเงื่อนไขที่ได้กำหนดไว้

    ตัวอย่างสถานการณ์: บริษัท A สั่งซื้อชิ้นส่วน 500 หน่วย แต่ต้องการเพิ่มเป็น 700 หน่วย

    • พนักงานจัดซื้อทำการเปลี่ยนแปลงข้อมูลและบันทึกในหน้า “Confirmed purchase orders with changes”
    • ผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อได้รับการแจ้งเตือนเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงข้อมูล
    • การเปลี่ยนแปลงนี้ได้รับการอนุมัติโดยอัตโนมัติเนื่องจากอยู่ในเกณฑ์ที่กำหนด
    • คำสั่งซื้อที่ยืนยันได้รับการอัพเดตให้เป็นจำนวนใหม่ (700 หน่วย)
    Confirmed purchase order changes workspace

    6. Warehouse mobile app insights

    ช่วยให้พนักงานคลังสินค้าเห็นภาพรวมของงานในคลังได้ง่ายขึ้น โดยหน้า workload แสดงข้อมูลสรุปงานและคำแนะนำจาก AI เพื่อให้สามารถวางแผนการทำงานในแต่ละกะได้ดียิ่งขึ้น โดยเมื่อทำการเปิดหน้า workload จะเห็นภาพรวมของงานที่ยังไม่ได้เริ่มในคลัง และคำอธิบายสรุปโดย Copilot รวมถึงสามารถดูรายละเอียดของงานที่เปิดอยู่ตามประเภทงาน ซึ่งช่วยให้สามารถวางแผนการทำงานในแต่ละวันได้รวดเร็วขึ้น

    7. Product hover

    ผู้ใช้สามารถเลื่อนเมาส์ไปบนหมายเลขสินค้าหรือชื่อสินค้าในระบบเพื่อดูสรุปรายละเอียดของสินค้าที่ Copilot สร้างขึ้นได้ทันที โดยข้อมูลที่แสดงจะขึ้นอยู่กับข้อมูลที่ผู้ใช้ใช้งานบ่อยที่สุดและช่วยลดระยะเวลาในการสืบค้นข้อมูล โดยผู้ใช้จะได้รับข้อมูลที่สำคัญโดยไม่ต้องคลิกเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติม

    8. Product details summary

    ในหน้า Released Product Details จะมีแท็บ “Summary by Copilot” ที่แสดงข้อมูลที่ได้ทำการสรุปรายละเอียดสินค้า เช่น รายละเอียดสินค้า, การสั่งซื้อสินค้า และการขายสินค้า

    9. Vendor summary

    ในหน้า All Vendors Details มีแท็บ “Summary by Copilot” ที่แสดงข้อมูลสถานะและข้อมูลเชิงลึกของผู้ขาย เช่น สกุลเงินของผู้ขาย, สถานะของผู้ขาย, จำนวนใบสั่งซื้อ, ใบแจ้งหนี้ที่โพสต์แล้ว, สถานะการชำระเงิน รวมถึงจำนวนใบแจ้งหนี้ที่ค้างชำระ ข้อตกลงการซื้อ และข้อตกลงส่วนลดที่ยังคงใช้งานอยู่

    10. Purchase order summary

    ในหน้า All Purchase Orders Details มีแท็บ “Summary by Copilot” ที่แสดงภาพรวมสถานะของใบสั่งซื้อ เช่น จำนวนรายการที่ยืนยันแล้วบางส่วนหรือทั้งหมด, รายการที่ได้รับสินค้าแล้ว และรายการที่ออกใบแจ้งหนี้แล้ว นอกจากนี้ยังแสดงข้อมูลเชิงลึกอื่น ๆ เช่น สรุปรายการที่เลยกำหนดหรือใกล้ถึงกำหนด

    11. Sales order summary

    ในหน้า Sales Order Details มีแท็บ “Summary by Copilot” ที่แสดงภาพรวมสถานะของใบสั่งขาย เช่น จำนวนรายการที่ยืนยันแล้วบางส่วนหรือทั้งหมด, รายการที่มีการส่งสินค้าแล้ว และรายการที่ออกใบแจ้งหนี้แล้ว นอกจากนี้ยังแสดงข้อมูลเชิงลึกอื่น ๆ เช่น สรุปรายการที่เลยกำหนดหรือใกล้ถึงกำหนด

    อ้างอิง:

    https://learn.microsoft.com/en-us/microsoft-cloud/dev/copilot/copilot-for-dynamics365

    การบันทึกใบแจ้งหนี้ (Invoice Capture) ด้วยระบบอัตโนมัติที่มีประสิทธิภาพสูง ใช้วิธีการการจับภาพใบแจ้งหนี้ด้วยเทคโนโลยี OCR (Optical Character Recognition) ช่วยให้การประมวลผลใบแจ้งหนี้เป็นไปอย่างรวดเร็วและแม่นยำมากขึ้น ระบบนี้สามารถดึงข้อมูลที่จำเป็นจากใบแจ้งหนี้และนำเข้าสู่ระบบบัญชีได้โดยอัตโนมัติ ลดความผิดพลาดและประหยัดเวลาให้กับทีมงานบัญชีเจ้าหนี้ นอกจากนี้ การใช้โมเดลที่สร้างขึ้นล่วงหน้าแบบกำหนดเองยังช่วยให้สามารถปรับแต่งการดึงข้อมูลให้ตรงกับความต้องการเฉพาะขององค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพ


    Invoice Capture ใน D365 Finance ทำงานอย่างไร?

    Invoice Capture feature ใน Dynamics 365 Finance ช่วยสร้างใบแจ้งหนี้จากรูปภาพใบแจ้งหนี้ในรูปแบบดิจิทัล เช่น ไฟล์ JPG และ PDF โดยอัตโนมัติ โซลูชันนี้ใช้เทคโนโลยี OCR (Optical Character Recognition) และ AI เพื่อแปลงข้อความที่พิมพ์ให้อยู่ในรูปแบบดิจิทัล ทำให้เนื้อหาสามารถแก้ไข ค้นหา และจัดเก็บได้ในระบบอิเล็กทรอนิกส์ โดยมีขั้นตอนการทำงานดังนี้

    1. Invoice Received Files Center:

    เป็นศูนย์กลางที่รับไฟล์ใบแจ้งหนี้จากแหล่งต่างๆ และรองรับทั้งการอัปโหลดไฟล์ด้วยตนเองและการทำงานอัตโนมัติสำหรับไฟล์ที่ได้รับ สามารถตั้งค่าให้รับใบแจ้งหนี้จากช่องทางต่าง ๆ ได้ง่าย เช่น Email, OneDrive และ SharePoint พร้อมกับการกำหนดข้อจำกัดเพิ่มเติม เช่น ชื่อไฟล์ ประเภทไฟล์ และขนาดไฟล์ที่รองรับ

    2. Invoice Capturing:

    เมื่อใบแจ้งหนี้ถูกสแกนเข้าระบบ OCR จะทำการดึงข้อมูลที่สำคัญ เช่น หมายเลขใบแจ้งหนี้ วันที่ จำนวนเงิน และข้อมูลผู้ขาย ซึ่งสามารถลดเวลาและความพยายามที่ต้องใช้ในการป้อนข้อมูลด้วยตนเอง ลดข้อผิดพลาด และปรับปรุงความเร็วและความแม่นยำของข้อมูล

    3. Reviewing and Correction:

    ระบบจะทำการจับคู่ข้อมูลจากใบแจ้งหนี้กับคำสั่งซื้อที่มีอยู่ในระบบ เพื่อยืนยันความถูกต้องและตรวจสอบข้อผิดพลาดช่วยให้ผู้ใช้มั่นใจในความถูกต้องก่อนที่จะทำการสร้างรายการใบแจ้งหนี้ใน Dynamics 365

    4. Dynamics 365 Invoice creation:

    เมื่อข้อมูลถูกตรวจสอบและอนุมัติแล้ว ระบบจะทำการสร้างใบแจ้งหนี้ใน Dynamics 365 ให้อัตโนมัติ เพื่อให้บัญชีทำการตรวจสอบข้อมูลและทำการ Post ใบแจ้งหนี้เพื่อเข้าสู่กระบวนชำระเงินต่อไป


    เริ่มใช้งาน Invoice Capture

    เมื่อการตั้งค่าระบบ (Setup system configuration wizard) และกำหนดบทบาทความปลอดภัย (security roles) เสร็จสมบูรณ์แล้วระบบจะสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่ต้องปรับค่าเพิ่มเติม และจะดียิ่งขึ้นเมื่อมีการใช้งานมากขึ้น แต่ในช่วงเริ่มต้นผู้ใช้จำเป็นต้องตรวจสอบเพื่อให้ระบบเรียนรู้และทำความเข้าใจความแตกต่างของข้อมูลของแต่ละผู้ขาย เพื่อให้ระบบสามารถทำงานได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

    สำหรับลูกค้าที่ใช้ Dynamics 365 Finance จำเป็นต้องพิจารณาใบอนุญาตดังต่อไปนี้:

    • Power Apps License (per user): กรณีที่ user ที่ใช้งานไม่มี Full Dynamics 365 Finance License ผู้ใช้ต้องมี License Power Apps เพื่อเข้าถึงแอปพลิเคชันพลิเคชัน Invoice Capture
    • Invoice processing fee based on number of invoices: ลูกค้า Dynamics 365 Finance ได้รับสิทธิ์ในการใช้ Invoice Capture ฟรี 100 รายการต่อ tenant ต่อเดือน หากต้องการเพิ่มจำนวนรายการ สามารถซื้อ Electronic Invoicing เพิ่มเติม สำหรับ 1,000 รายการต่อ tenant ต่อเดือน
    • Azure Data Lake Storage subscription: โดยปกติแล้วลูกค้า Dynamics 365 Finance จะได้รับความจุสำหรับพื้นที่จัดเก็บข้อมูลอยู่ที่ 20 GB ซึ่งเพียงพอสำหรับการเก็บข้อมูลเอกสารใบแจ้งหนี้ต้นฉบับ แต่หากความจุไฟล์ Dataverse ไม่เพียงพอ สามารถซื้อพื้นที่เก็บข้อมูล Azure Data Lake เพิ่มเติมได้ (ความจุเริ่มต้น: 10 GB)

    การบันทึกบัญชีเจ้าหนี้อัตโนมัติด้วย Invoice capture ไม่เพียงแต่ช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงาน แต่ยังช่วยประหยัดเวลาและลดความผิดพลาด รวมถึงสามารถผสานรวมกับระบบ Dynamics 365 ได้อย่างง่ายดาย ทำให้ผู้ใช้ลดระยะเวลาในการป้อนข้อมูลและการตรวจสอบใบแจ้งหนี้

    หากองค์กรใดสนใจใช้งาน Invoice capture in Dynamics 365 Finance สามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ได้ที่ :

    Email : SalesTeam@innovizsolutions.com ,Tel : 02-6514542

    อ้างอิง:

    https://learn.microsoft.com/en-us/dynamics365/finance/accounts-payable/invoice-capture-overview

    Power BI Embedded

    Power BI Embedded 

    ตัวช่วยวิเคราะห์ข้อมูล ERP ใน Microsoft Dynamics 365

    ในยุคที่ธุรกิจต้องรับมือกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและการแข่งขันที่สูงขึ้น ขีดความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูลและการบริหารจัดการทรัพยากรต่างๆ อย่างเต็มประสิทธิภาพจึงเป็นเครื่องสำคัญ เพื่อให้ธุรกิจประสบความสำเร็จและเติบโตได้ในระยะยาว 

    ดังนั้น การมีเครื่องมือช่วยยกระดับศักยภาพองค์กรจึงเป็นเรื่องสำคัญ โดย Microsoft Dynamics 365 for Finance and Operations คือหนึ่งในระบบ ERP ที่ช่วยให้การจัดการบริหารทรัพยากรต่าง ๆ ในองค์กร เป็นไปอย่างมีระบบ สามารถเชื่อมโยงทุกส่วนเข้าหากันได้ทั้งหมด เช่น งานบริการ งานการผลิต งบประมาณ และอื่นๆเหมาะกับองค์กรที่มีขนาดกลาง ไปจนถึงขนาดใหญ่ ซึ่งภายใต้ Microsoft Dynamics 365 หนึ่งในตัวช่วยที่น่าสนใจสำหรับใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลในระบบ ERP คือ Power BI Embedded

    Power BI

    ตัวอย่าง Power BI ใน Workspace ของ D365

    Power BI Embedded คืออะไร

    Power BI Embedded ช่วยให้องค์กรสามารถสร้างรายงานข้อมูลออกมาในรูปแบบ Analytic Dashboard และวิเคราะห์ข้อมูล ผ่านแอปพลิเคชัน พอร์ทัล หรือเว็บไซต์ต่างๆ ขององค์กรได้เอง ทำให้สามารถปรับการใช้งานได้หลากหลายรูปแบบตามความเหมาะสม เช่น ปรับใช้สำหรับระบบ Business Intelligence ภายในองค์กร เพื่อแปลงข้อมูลปกติให้เป็นข้อมูลเชิงลึกเพื่อช่วยในการตัดสินใจทางธุรกิจ หรือใช้สำหรับให้บริการลูกค้าขององค์กรที่ต้องการสร้างมูลค่าเพิ่มจากฐานข้อมูลที่มีอยู่

    ทำไมองค์กรถึงควรใช้ Power BI Embedded

    ทำไมองค์กรถึงควรใช้ Power BI Embedded

    เพียงแค่ใช้งาน D365 Finance and Operations องค์กรธุรกิจสามารถใช้งาน Power BI Embedded ได้เลย โดยไม่ต้องจ่ายค่าบริการ Power BI เพิ่มเติม นอกจากนี้ การเข้าถึงรายงาน Power BI ยังมีความปลอดภัย เนื่องจากเข้าผ่านทาง D365 Finance and Operations

    Power BI ทำให้การแสดงชุดข้อมูลที่ซับซ้อนเป็นเรื่องง่ายโดยการแสดงข้อมูลออกมาเป็นรูปภาพ เพื่อช่วยให้สามารถเข้าใจข้อมูลได้ครบถ้วนยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังสามารถ Drill-down เพื่อดูรายละเอียดของกระบวนการต่างๆ และจัดการงานในส่วนดังกล่าวได้ในทันที

    สามารถรวมข้อมูลจากหลายๆ เรื่องเพื่อใช้เป็นข้อมูลในการแสดงผลด้วยกันได้ง่าย

    ช่วยให้สามารถเห็นข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและสามารถปรับเปลี่ยนทิศทางได้แบบเรียลไทม์

    สามารถสร้างแดชบอร์ดที่แสดงข้อมูลสรุปตามความเหมาะได้เอง เพื่อให้ไปสู่เป้าหมายที่วางไว้ โดยสามารถปรับแต่งรายงานด้วย Power user หรือ Business Analyst ได้ ทำให้รายงานมาจากประสบการณ์จริงของผู้ใช้งานจริง

    ด้วยการรวบรวมข้อมูลและการวิเคราะห์ จึงทำให้ Power BI เป็นเทคโนโลยีที่คุ้มค่าซึ่งอาจช่วยประหยัดเวลาและเงินขององค์กร

    Features of Power BI Embedded

    ฟีเจอร์เด่นของ Power BI Embedded

    Power BI Embedded มีฟีเจอร์ที่สามารถใช้เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้ในหลายส่วน เราจึงอยากชวนมาทำความรู้จัก 5 ฟีเจอร์เด่นๆ แบบเจาะลึก ที่จะช่วยให้งานรูทีนและการบริหารจัดการต่างๆ ง่ายขึ้นและรวดเร็วยิ่งขึ้น

    แสดงภาพรวมของกระแสเงินสดในองค์กร โดยจะช่วยให้คาดการณ์เพื่อใช้ในการตัดสินใจได้ดีขึ้นว่ากระแสเงินสดขององค์กรเป็นอย่างไร ซึ่งสามารถวิเคราะห์ในมุมของสกุลเงินแต่ละประเภทและยังสามารถดูไปถึงบัญชีธนาคารได้ด้วย ทำให้มองเห็นภาพของส่วนที่เพิ่มและการขาดดุลของกระแสเงินสดได้ดียิ่งขึ้น

    Features of Power BI Embedded

    แสดงข้อมูลการจัดการเครดิตและการเรียกเก็บเงิน โดยข้อมูลจะเกี่ยวกับจำนวนยอดขายคงค้าง, ยอดคงเหลือที่ค้างชำระ ข้อมูลลูกค้าที่เกินวงเงินเครดิต เป็นต้น ซึ่งสามารถแสดงในมุมของบริษัท กลุ่มของลูกค้า และลูกค้ารายบุคคล ได้อีกด้วย

    Features of Power BI Embedded

    แสดงถึงประสิทธิภาพของการผลิตในองค์กร โดยสามารถวิเคราะห์ในส่วนของการผลิตตามกำหนดเวลา คุณภาพการผลิตและรวมไปถึงต้นทุนของการผลิต ซึ่งจะดูรายละเอียดของใบสั่งผลิตที่เกิดขึ้นได้ ทำให้องค์กรสามารถผลิตได้อย่างเต็มประสิทธิภาพสูงสุด และยังสามารถดูข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับผลต่างระหว่างต้นทุนโดยประมาณกับต้นทุนที่รับรู้ได้ทันที

    Features of Power BI Embedded

    แสดงข้อมูลเกี่ยวกับสินทรัพย์ถาวรที่สามารถดูรายละเอียดและข้อมูลที่เกี่ยวกับสินทรัพย์ถาวรในองค์กร ซึ่งจะแสดงสินทรัพย์ที่ได้รับมาระหว่างปีปัจจุบัน และสินทรัพย์ที่ถูกจำหน่ายออกไปในระหว่างปีปัจจุบัน รวมถึงแสดงค่าเสื่อมของสินทรัพย์ถาวรนั้นๆ อีกด้วย

    Features of Power BI Embedded

    แสดงภาพรวมของการเงิน และอัตราส่วนทางการเงินต่างๆ เพื่อเข้าถึงการวิเคราะห์ทางการเงินที่ทันสมัย โดยการวิเคราะห์ที่ครอบคลุมและแสดงข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการเงินขององค์กร ด้วยการรวมข้อมูลจากบัญชีแยกประเภททั่วไปและบัญชีแยกประเภทย่อย ตามความต้องการเฉพาะของคุณได้

    Features of Power BI Embedded

    เริ่มใช้งาน Power BI Embedded

    สรุปแล้ว การใช้ Power BI Embedded ที่มาพร้อมกับ Dynamics 365 Finance and Operations ช่วยเพิ่มความเฉียบคมในการตัดสินใจ ทำให้สามารถใช้ข้อมูลที่ถูกบันทึกไว้ในระบบ ERP นำมาใช้วิเคราะห์ธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็วมากขึ้น นอกจากนี้ยังสามารถปรับปรุงกระบวนการธุรกิจและการบริหารทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อเพิ่มโอกาสทางธุรกิจในอนาคตได้อีกด้วย หากองค์กรใดสนใจใช้งาน Power BI Embedded สามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ได้ที่ : (Email : SalesTeam@innovizsolutions.com ,Tel : 02-6514542) หรือ https://www.innovizsolutions.com/contact/

    อ้างอิง:

    https://learn.microsoft.com/en-us/dynamics365/fin-ops-core/dev-itpro/analytics/embed-power-bi-workspaces?context=%2Fdynamics365%2Fcontext%2Fcommerce
    Microsoft Thailand awarded Partner of the Year 2022

    กรุงเทพฯ – 24 กุมภาพันธ์ 2566 – ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย ประกาศเกียรติคุณมอบรางวัล Partner of the Year 2022 แก่พันธมิตรที่นำเทคโนโลยีของไมโครซอฟท์ไปสรรสร้างนวัตกรรม และพัฒนาโซลูชันที่ตอบโจทย์ใหญ่ในหลากหลายธุรกิจ พร้อมประกาศแต่งตั้ง นายปวิช ใจชื่น ขึ้นนั่งตำแหน่ง รองกรรมการผู้จัดการ สายงานกลุ่มธุรกิจพันธมิตรอีกด้วย

    โดยในปีนี้ ไมโครซอฟท์มอบรางวัล Partner Of The Year 2022 ให้กับบริษัท Innoviz Solutions ในสาขา Intelligent Line of Business – Business Applications

    Link : https://news.microsoft.com/th-th/2023/02/24/microsoft-partner-of-the-year-2022-th/